top of page

หลักสูตร Doctor of Medicine

S__23773191.jpg
S__23773192.jpg

หลักสูตร

ชื่อเต็มหลักสูตร (ภาษาไทย)  :  แพทยศาสตรบัณฑิต

ชื่อย่อหลักสูตร (ภาษาไทย)  :  พ.บ. (แพทยศาสตรบัณฑิต)

ชื่อเต็มหลักสูตร (ภาษาอังกฤษ) : Doctor of Medicine

ชื่อย่อหลักสูตร (ภาษาอังกฤษ) :  M.D.

รูปแบบ : หลักสูตรปริญญาตรี 6 ปี

ภาษาที่ใช้ : ภาษาไทย และภาษาอังกฤษ

การรับเข้าศึกษา :

 1. ผู้สำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายสายวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ในประเทศไทย

 2. ผู้สำเร็จการศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายสายวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์จากต่างประเทศ ที่กระทรวงศึกษาธิการรับรองว่าเทียบเท่า และสามารถใช้ภาษาไทยได้ดี

 3. ผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีหรือสูงกว่าในสายวิทยาศาสตร์สุขภาพ

 ความร่วมมือกับสถาบันอื่น

 4.เป็นหลักสูตรร่วมกับสถาบันอื่น ชื่อสถาบัน สำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร(โรงพยาบาลราชพิพัฒน์)

สถานภาพของหลักสูตรและการพิจารณาอนุมัติ/เห็นชอบหลักสูตร :

      เป็นหลักสูตรปรับปรุง ปีการศึกษา ๒๕๖๘ โดยปรับปรุงมาจากหลักสูตรใหม่ แพทยศาสตรบัณฑิต พ.ศ. ๒๕๖๔ ซึ่งดำเนินการตาม เกณฑ์มาตรฐานหลักสูตรระดับปริญญาตรี พ.ศ. ๒๕๖๕ มาตรฐานคุณวุฒิในสาขาวิชาแพทยศาสตร์ ระดับปริญญาตรี พ.ศ. ๒๕๖๖ และเกณฑ์ความรู้ความสามารถในการประเมินเพื่อรับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. ๒๕๖๗

      เริ่มใช้ในภาคการศึกษาที่ 1 ปีการศึกษา 2568 เป็นต้นไป

      การพิจารณาให้ความเห็นชอบและอนุมัติหลักสูตร

คุณภาพและมาตรฐาน :

      เมื่อสภามหาวิทยาลัยอนุมัติหลักสูตรแล้ว มหาวิทยาลัยจะส่งหลักสูตรให้สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่สภามหาวิทยาลัยอนุมัติ เพื่อตรวจสอบหลักสูตรการศึกษา

      กรณีการตรวจสอบการดำเนินการจัดการศึกษา หลักสูตรมีความพร้อมที่จะดำเนินการตรวจสอบและรับรองมาตรฐานการอุดมศึกษาในหลักสูตรการศึกษาภายในปีการศึกษา 2569 ตามประกาศคณะกรรมการมาตรฐานการอุดมศึกษา เรื่องหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการแต่งตั้งหรือมอบหมาย ผู้ตรวจสอบ และการตรวจสอบการดำเนินการจัดการศึกษาของสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ. ๒๕๖๕

อาชีพที่สามารถประกอบได้หลังสำเร็จการศึกษา :

      แพทย์ในระบบราชการ ในสังกัดต่าง ๆ

      แพทย์ในโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลเอกชน องค์กรเอกชน

      นักวิจัย นักวิชาการ ที่ปรึกษา/ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสุขภาพ

      วิชาชีพอิสระ เจ้าของกิจการด้านการแพทย์และสุขภาพ

สถานที่จัดการเรียนการสอน :

      ระยะขั้นการศึกษาที่ 1 (พรีคลินิก) ปีที่ 1-3 เรียนที่คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรีและชุมชนเครือข่าย

      ระยะขั้นการศึกษาที่ 2 และ 3 (คลินิก) ปีที่ 4-6 เรียนที่โรงพยาบาลราชพิพัฒน์ โรงพยาบาลสมทบและชุมชนเครือข่าย

เหตุผลของการปรับปรุงหลักสูตร :

      การปรับปรุงหลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต หลักสูตรปรับปรุง ปีการศึกษา ๒๕๖๘ ของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี เป็นการปรับปรุงพัฒนาก่อนครบรอบระยะเวลาของหลักสูตร       เพื่อยกระดับคุณภาพการจัดการศึกษาแพทยศาสตร์ให้สอดคล้องกับหลักการจัดการศึกษาสากลที่มุ่งเน้นผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักศึกษา ให้นักศึกษามีส่วนร่วมสำคัญในการเรียนรู้เชิงรุก พัฒนานักศึกษาให้เป็นแพทย์ที่มีคุณภาพและสมรรถนะแห่งอนาคต มีคุณลักษณะที่ตรงกับมาตรฐานคุณวุฒิในสาขาวิชาแพทยศาสตร์ ระดับปริญญาตรี พ.ศ. ๒๕๖๖ และ เกณฑ์ความรู้ความสามารถในการประเมินเพื่อขอรับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. ๒๕๖๗ ตามมาตรฐานหลักสูตรการอุดมศึกษา พ.ศ. ๒๕๖๕ สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๘๐ แผนยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๙ (ด้านสาธารณสุข) ในการผลิตและพัฒนากำลังคนให้สอดคล้องกับบริบทและแนวโน้มสถานการณ์ด้านสุขภาพของคนไทยที่มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร จากสังคมสูงวัยโดยสมบูรณ์สู่สังคมสูงวัยระดับสุดยอด ตลอดจนยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขันประเด็นอุตสาหกรรมและบริการทางการแพทย์อย่างครบวงจร ทั้งนี้การปรับปรุง

      หลักสูตรยังเป็นการดำเนินการโดยยึดปรัชญาของมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี “สร้างปัญญา พัฒนาคน ฝึกฝนคุณธรรม” ในการผลิตบัณฑิตที่มีอัตลักษณ์ “บัณฑิตนักปฏิบัติ มุ่งสู่มืออาชีพ” การออกแบบหลักสูตรเป็นไปตามปรัชญาการจัดการศึกษาของคณะแพทยศาสตร์ “คุณธรรมคู่ความรู้ความสามารถ ฉลาดพัฒนาตนและสังคม” บนพื้นฐานค่านิยมและวัฒนธรรม EKG (Ethics, Knowledge, Generosity) และหลักธรรมาภิบาลในการบริหารจัดการทรัพยากรให้มีประสิทธิภาพและคุ้มค่า

การตอบสนองนโยบายและยุทธศาสตร์ชาติ และการตอบเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของ SDGs :

      การปรับปรุงหลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต หลักสูตรปรับปรุง ปีการศึกษา ๒๕๖๘ เป็นความมุ่งมั่นของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรีในอันที่จะผลิตบัณฑิตแพทย์ที่มีคุณลักษณะที่ตอบสนองนโยบายและยุทธศาสตร์ชาติในการสร้างความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนของประเทศในอนาคต โดยเฉพาะในการทำหน้าที่เสริมสร้างสุขภาพและคุณภาพชีวิตของประชาชน ตลอดจนการเป็นพลเมืองดีมีความรับผิดชอบและมุ่งประโยชน์ต่อสังคม เป็นมืออาชีพที่มีความสามารถสูงในการสร้างเศรษฐกิจและสังคมแห่งอนาคตจากการเรียนรู้และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้การจัดการศึกษาในหลักสูตรนี้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ โดยเฉพาะเป้าหมายที่ 3 สร้างหลักประกันการมีสุขภาวะที่ดี และส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีสำหรับทุกคนในทุกช่วงวัย โดยให้ความสำคัญกับสุขภาพในมิติทางสังคมและสิ่งแวดล้อม      การเสริมพลังอำนาจความรู้ด้านสุขภาพให้กับประชาชน การผลักดันให้เกิดความร่วมมือและเครือข่ายในการบริบาลสุขภาพกับชุมชนและประชาชน การสร้างโอกาสให้นักศึกษาได้เรียนรู้สุขภาพโลก พร้อมกับฝึกปฏิบัติการทำงานร่วมกับชุมชนและประชาชนโดยใช้เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนเป็นแนวทาง

การตอบนโยบายกลยุทธ์ของสถาบัน :

      มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรีมีนโยบายในการผลิตบัณฑิตนักปฏิบัติมุ่งสู่มืออาชีพ โดยการจัดการเรียนการสอนให้บัณฑิตมีความเชี่ยวชาญ มีความรู้ ความสามารถ สมรรถนะในแต่ละศาสตร์ตามจรรยาบรรณวิชาชีพ และมีศักยภาพพร้อมมุ่งสู่มืออาชีพ หลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต หลักสูตรปรับปรุง ปีการศึกษา ๒๕๖๘ กำหนดกลยุทธ์การจัดการศึกษาในลักษณะที่มุ่งเน้นผลลัพธ์การเรียนรู้ โดยกำหนดให้สมรรถนะความเป็นมืออาชีพในการประกอบวิชาชีพเวชกรรมบนพื้นฐานของจริยธรรมและกฎหมาย สมรรถนะการบริบาลผู้ป่วยโดยมีความรู้ความสามารถขั้นต่ำตามเกณฑ์ความรู้ความสามารถในการประเมินเพื่อรับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. ๒๕๖๗ สมรรถนะการทำงานในระบบบริการสุขภาพ และสมรรถนะการพัฒนาตัวเองและวิชาชีพ เป็นเป้าหมายหรือผลลัพธ์การเรียนรู้ของหลักสูตร ออกแบบการจัดประสบการณ์เรียนรู้และการประเมินผลที่สอดคล้องกันเพื่อให้นักศึกษาบรรลุผลลัพธ์การเรียนรู้ เป็นบัณฑิตมืออาชีพตามนิยามที่กำหนดไว้ ส่วนกลยุทธ์การสร้างนักปฏิบัติคือการสร้างการมีส่วนร่วมของนักศึกษาในการเรียนรู้เชิงรุกในบริบทที่แพทย์ต้องปฏิบัติงานจริงตลอดหลักสูตร นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาคุณภาพขององค์ประกอบต่าง ๆ ของหลักสูตร   และมีการพัฒนาอาจารย์ พัฒนาศักยภาพและคุณภาพของคณะแพทยศาสตร์อย่างต่อเนื่อง ตามแนวทางของสถาบันรับรองมาตรฐานการศึกษาแพทยศาสตร์ และเกณฑ์คุณภาพการศึกษาเพื่อการดำเนินการที่เป็นเลิศ จนกระทั่งมีการปรับปรุงเป็นหลักสูตรปรับปรุง ปีการศึกษา ๒๕๖๘

การตอบความต้องการของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย :

      ในการปรับปรุงหลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต นอกจากการศึกษาแนวโน้มความต้องการของประเทศจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ แนวโน้มการจัดการศึกษาแพทยศาสตร์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ตลอดจนการทบทวนวิเคราะห์ผลการดำเนินงานและศักยภาพในการผลิตบัณฑิตของทั้งคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี และโรงพยาบาลราชพิพัฒน์ซึ่งเป็นโรงพยาบาลหลักคู่ความร่วมมือในการเป็นสถานฝึกปฏิบัติทางคลินิกหลักของนักศึกษาแล้ว คณะแพทยศาสตร์ได้ทำการศึกษาความต้องการของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่สำคัญ ได้แก่ นักศึกษา อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ และอาจารย์แพทย์ของโรงพยาบาลราชพิพัฒน์ รวมถึงผู้บริหารมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี และผู้นำชุมชน เกี่ยวกับคุณลักษณะบัณฑิตที่ต้องการและแนวทางในการพัฒนาด้านต่าง ๆ  เพื่อใช้ในการกำหนดผลลัพธ์การเรียนรู้ของหลักสูตรและออกแบบโครงสร้างองค์ประกอบต่าง ๆ ของหลักสูตร

เพื่อเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานในการปรับปรุงหลักสูตรเมื่อครบวงรอบระยะเวลา5ปี :

      หลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต หลักสูตรปรับปรุง ปีการศึกษา ๒๕๖๘ เป็นการพัฒนาปรับปรุงหลักสูตรก่อนครบ 5 ปีหรือครบรอบระยะเวลาของหลักสูตร เพื่อให้การจัดการศึกษาสอดคล้องกับความต้องการของระบบสุขภาพ มีคุณภาพ ประสิทธิภาพ และคุ้มค่ายิ่งขึ้น

ปรัชญา :

      หลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต หลักสูตรปรับปรุง ปีการศึกษา ๒๕๖๘ เป็นหลักสูตรที่มีแนวคิดหรือปรัชญาที่เน้นความสำคัญและคุณค่าของมนุษย์ทุกคน ทั้งผู้ป่วย ประชาชน นักศึกษา อาจารย์ และบุคลากรที่เกี่ยวข้อง สนับสนุนการพัฒนานักศึกษาให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์โดยองค์รวมนอกเหนือจากการให้ความรู้ ส่งเสริมการพัฒนาจริยธรรมควบคู่กับปัญญา เน้นปฏิสัมพันธ์แบบกัลยาณมิตร บนพื้นฐานของความเห็นอกเห็นใจ     ให้เกียรติ อย่างสันติ ส่งเสริมการเรียนรู้อย่างมีส่วนร่วมและการสร้างเครือข่ายการเรียนรู้ ให้โอกาสนักศึกษาและอาจารย์ในการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง ให้ความสำคัญต่อการประเมินผลเพื่อได้ข้อมูลป้อนกลับสำหรับการพัฒนาผลลัพธ์การเรียนรู้อย่างต่อเนื่องในทุกมิติ เชื่อในศักยภาพของนักศึกษา ให้นักศึกษาเป็นศูนย์กลางในการเรียนรู้และพัฒนาใช้กลยุทธ์การเรียนรู้เชิงรุกและการมีส่วนร่วมของนักศึกษาในบริบทจริงหรือเสมือนจริงในการกระตุ้นและการเรียนรู้ สร้างการเปลี่ยนแปลงในตนเองหรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจากการเรียนรู้ ส่งเสริมความหลากหลาย เคารพความแตกต่าง ให้โอกาสผู้ที่ไม่สามารถเข้าถึงการศึกษาแพทยศาสตร์มาก่อนเข้าศึกษาได้โดยไม่จำกัดเพศหรืออายุ

วัตถุประสงค์ของหลักสูตร (Program Educational Objectives: PEOs) :

     เพื่อผลิตกำลังคนด้านสุขภาพและการแพทย์ตามความต้องการของประเทศ เพื่อเติมเต็มภาคส่วนสุขภาพที่ยังมีปัญหา ทั้งในภาครัฐและภาคเอกชน โดยเฉพาะในการบริบาลผู้ป่วยสูงอายุ

     เพื่อผลิตบัณฑิตในสาขาวิชาชีพแพทย์ที่ประพฤติตนอย่างมีคุณธรรม เป็นนักปฏิบัติ มีความรู้ประสบการณ์ความสามารถควบคู่คุณธรรมและจิตสำนึกที่ดีงาม บนพื้นฐานความเป็นไทย มีความพอเพียง  มีจิตสาธารณะ มีภาวะผู้นำ และมีสมรรถนะสากล ตามปรัชญาและจุดมุ่งหมายของมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี

     เพื่อผลิตบัณฑิตแพทย์ที่มีความเป็นมืออาชีพ ไว้วางใจได้ ความสามารถในการบริบาลผู้ป่วยโดยองค์รวมแบบเบ็ดเสร็จอิงหลักฐานเชิงประจักษ์ทางการแพทย์ได้อย่างสมเหตุผลและปลอดภัย ด้วยความเห็นอกเห็นใจ สุภาพ และมีบุคลิกลักษณะที่ดี สามารถปฏิบัติงานร่วมกับแพทย์และบุคลากรในระบบบริการทางการแพทย์ที่มีความสามารถในการสื่อสารและสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับผู้ป่วย ญาติ ประชาชน ตามความคาดหวังของสังคม

     เพื่อผลิตบัณฑิตแพทย์ให้มีสมรรถนะที่จำเป็นสำหรับการดำเนินชีวิตและปฏิบัติงานในศตวรรษที่ 21 มีการเรียนรู้และพัฒนาตนเองและวิชาชีพตลอดชีวิต และมีสมรรถนะตามผลลัพธ์การเรียนรู้ 4 ด้าน  (1) ด้านความรู้ (2) ด้านทักษะ (3) ด้านจริยธรรม (4) ด้านลักษณะบุคคล ตามมาตรฐานคุณวุฒิในสาขาวิชาแพทยศาสตร์ ระดับปริญญาตรี พ.ศ. ๒๕๖๖

     เพื่อผลิตบัณฑิตแพทย์ที่มีสมรรถนะในการบริบาลผู้ป่วยและประชาชนสูงวัย ตามเอกลักษณ์ของหลักสูตร

     เพื่อส่งเสริมการวิจัยและนวัตกรรมทางการแพทย์และสุขภาพ

     เพื่อสนับสนุนการพัฒนาระบบการบริการทางการแพทย์และสุขภาพ โดยเฉพาะระบบบริบาล ผู้สูงวัยและการจัดการปัจจัยเสี่ยงด้านสุขภาพของชุมชนในเครือข่ายการศึกษา

     เพื่อส่งเสริมสนับสนุนการดำเนินงานของโรงพยาบาลราชพิพัฒน์และโรงพยาบาลสมทบในเครือข่ายการศึกษา

ผลลัพธ์การเรียนรู้ของหลักสูตร (Program Learning Outcomes: PLOs) :

      เมื่อบัณฑิตสำเร็จการศึกษาแล้วจะต้องมีสมรรถนะตามผลลัพธ์การเรียนรู้ 8 ด้าน ดังนี้

PLO 1 

ความเป็นมืออาชีพในการประกอบวิชาชีพเวชกรรมบนพื้นฐานของจริยธรรมและกฎหมาย

(Ethically and Legally grounded Medical Professionalism)

      ความเป็นมืออาชีพในการประกอบวิชาชีพเวชกรรม (Medical professionalism) หมายถึงการที่บัณฑิตมีสมรรถนะซึ่งประกอบด้วยทั้งความรู้ ทักษะ และเจตคติ ในการประกอบวิชาชีพด้วยความรู้ความสามารถตามมาตรฐานของการบริบาลสุขภาพของผู้ป่วยและประชาชนที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
มีความสามารถในการตัดสินใจทางการแพทย์ (Medical Judgement) ที่แสดงถึงการยังประโยชน์ต่อผู้ป่วยและสังคม ความเป็นอิสระ หรืออัตตาณัติวิชาชีพ (Professional autonomy) ด้วยความซื่อสัตย์ (Integrity) ความรับผิดชอบในการปฏิบัติหน้าที่และผลงาน (Responsibility and Accountability) และมีลักษณะบุคคล (Character) ที่สะท้อนถึงลักษณะนิสัยที่ดี ใส่ใจ ละเอียดรอบคอบ ประณีต มีบุคลิกภาพที่น่าเชื่อถือไว้วางใจ (Trustworthy) แสดงถึงความเข้าอกเข้าใจและตั้งใจให้ความช่วยเหลือผู้อื่น (Compassionate empathy) และการให้ความดูแลด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ (Humanized care) ให้ความสำคัญต่อประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์และสังคม (Altruism) ตลอดจนมีบุคลิกภาพที่น่าเชื่อถือ สุภาพ มีปฏิสัมพันธ์ที่แสดงถึงการให้เกียรติและเคารพในศักดิ์ศรีของผู้อื่น (Respect) มีความอ่อนน้อมถ่อมตน (Humility) ไม่เลือกปฏิบัติ แต่ให้ความสำคัญต่อความแตกต่างของแต่ละบุคคลและความเหลื่อมล้ำด้อยโอกาส ทั้งนี้โดยมีพื้นฐานที่สำคัญมากคือต้องมีการตัดสินใจและพฤติกรรมที่สะท้อนถึงการยึดมั่นในคุณธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณวิชาชีพ และการปฏิบัติตามกฎหมายทั้งในฐานะของแพทย์และพลเมืองดี

PLO 2

การบริบาลผู้ป่วยแบบองค์รวมที่ยึดผู้ป่วยเป็นศูนย์กลางและอิงหลักฐานเชิงประจักษ์

(Evidence-based holistic patient-centered care)

      สมรรถนะการบริบาลผู้ป่วย (Patient care) หมายถึงการมีความรู้ ทักษะ ความสามารถ และเจตคติ (ที่แสดงออกด้วยพฤติกรรมการดูแลผู้ป่วย) ที่ครอบคลุมการบริบาลสุขภาพทุกด้าน (Comprehensive care) ทั้งการดูแลรักษา การฟื้นฟูสุขภาพ การป้องกันโรค และการสร้างเสริมสุขภาพ โดยเฉพาะในระดับบุคคล ตลอดจนการประยุกต์ใช้ศาสตร์ในสาขาวิชาชีพอื่น อาทิ การแพทย์แผนไทย การแพทย์ทางเลือกในการบริบาลผู้ป่วยแบบบูรณาการ (Integrative care) อย่างเหมาะสม โดยต้องมีความรู้ความสามารถอย่างน้อยตามเกณฑ์ความรู้ความสามารถในการประเมินเพื่อรับใบวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. ๒๕๖๗ ของแพทยสภา ส่วนที่ 2 ข ความรู้ความสามารถทางวิชาชีพและทักษะทางคลินิก

      การบริบาลผู้ป่วยแบบองค์รวม (Holistic patient care) หมายถึงการจัดการปัญหาและดูแลสุขภาพของผู้ป่วยครบทุกด้านของความเป็นมนุษย์อย่างสมดุล ทั้งในด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์และจิตวิญญาณ รวมทั้งด้านสังคมและบริบทสภาพแวดล้อมของผู้ป่วย

      การยึดผู้ป่วยเป็นศูนย์กลางในการบริบาลสุขภาพ (Patient-centered healthcare) หมายถึงการให้ความสำคัญต่อความต้องการและความจำเป็น ความพึงพอใจและความสมัครใจของผู้ป่วย โดยการรับฟังความเห็น ให้คุณค่าต่อศรัทธาและวัฒนธรรมความเชื่อของผู้ป่วยและครอบครัว ให้ข้อมูลที่เพียงพอกับผู้ป่วยเพื่อให้ผู้ป่วยรับรู้ความเป็นจริงและมีส่วนร่วมอย่างจริงจังในการตัดสินใจเลือกวิธีการตรวจ สืบค้น และวิธีการรักษาหรือไม่รักษาเพื่อบริบาลสุขภาพของตนเอง

      การอิงหลักฐานเชิงประจักษ์ในการบริบาลผู้ป่วย (Evidence-based patient care) หมายถึงการบริบาลผู้ป่วยด้วยหลักการและวิธีการที่ดี ทันสมัย มีประสิทธิผลและประสิทธิภาพดี โดยมีหลักฐานอ้างอิงจากงานวิจัยที่มีคุณภาพ ประกอบกับบริบทของผู้ป่วยและระดับความสามารถในการให้บริการ ประสบการณ์ของแพทย์   และที่สำคัญคือการตัดสินใจของผู้ป่วยบนการรับรู้และความเข้าใจที่พอเพียง ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการบริบาลที่ดีและปลอดภัยที่สุดในสถานการณ์นั้น ๆ 

PLO 3

การประยุกต์ใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์การแพทย์พื้นฐาน

(Application of knowledge of Basic Medical Sciences)

      การประยุกต์ใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์การแพทย์พื้นฐานหมายถึงการมีสมรรถนะซึ่งประกอบด้วยทั้งความรู้ ทักษะ และเจตคติ  ในการนำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์พื้นฐานไปใช้หรือประยุกต์ใช้ในบริบทต่าง ๆ ของเวชปฏิบัติ โดยที่จะต้องมีความรู้ความเข้าใจอย่างเพียงพอและกระจ่างแจ้งในหลักการ แนวคิด/มโนทัศน์ และรายละเอียดความสำคัญของเนื้อหาความรู้ด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์พื้นฐาน (Basic medical science) จากระดับมีความรู้ (Know) จนถึงระดับที่นำความรู้ไปใช้ (Know how) ตามโครงสร้างพีระมิดที่แสดงถึงลำดับความก้าวหน้าในการเรียนรู้ (Miller’s learning pyramid)  มีทักษะในการวิเคราะห์ความรู้และบริบทที่จะต้องนำความรู้ไปใช้หรือปรับใช้เพื่อการแก้ปัญหาหรือตัดสินใจทางการแพทย์อย่างมีวิจารณญาณ จนถึงระดับที่แสดงหรืออธิบายได้ว่าจะนำความรู้ในเรื่องใดไปใช้อย่างไร (Show how) และระดับที่มีการบูรณาการความรู้ไปใช้ในสถานการณ์จริง (Do) ตลอดจนมีเจตคติที่แสดงออกด้วยการมีพฤติกรรมสม่ำเสมอในการบริบาลผู้ป่วยด้วยความรู้ด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์พื้นฐาน ตลอดจนการแสวงหาความรู้เพื่อพัฒนาความสามารถในการบริบาลผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง (กำหนดเป็นผลลัพธ์ใน PLO 7)

      ความรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์การแพทย์พื้นฐาน (Basic medical sciences) ประกอบด้วยความรู้เกี่ยวกับหลักการทั่วไปด้านวิทยาศาสตร์ชีวการแพทย์ (Foundation biomedical Sciences) และวิทยาศาสตร์การแพทย์พื้นฐานของระบบร่างกาย (Basic medical sciences of body system) ตามเกณฑ์ความรู้ความสามารถในการประเมินเพื่อรับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. ๒๕๖๗ ของแพทยสภา ส่วนที่ 1 ก. วิทยาศาสตร์การแพทย์พื้นฐาน และส่วนที่ 2 ข. หมวดที่ 2 ภาวะผิดปกติจำแนกตามระบบอวัยวะซึ่งครอบคลุมกลุ่มอาการหรือปัญหาสำคัญและความผิดปกติหรือโรคในระบบต่าง ๆ (Medical pathophysiology) ที่เป็นพื้นฐานสำหรับการอธิบายเกี่ยวกับภาวะสุขภาพหรือพยาธิสภาพ พยาธิกำเนิด กลไกการเกิดโรค พยาธิสรีรวิทยา การดำเนินโรค ตลอดจนการประยุกต์และบูรณาการความรู้เพื่อใช้ในการวินิจฉัย รักษา และการบริบาลอื่น ๆ ทางคลินิกในการประกอบวิชาชีพเวชกรรม

PLO 4

การสื่อสารและการสร้างสัมพันธภาพอย่างมีประสิทธิภาพ

(Effective Communication and Interrelationship)

      นักศึกษา/บัณฑิตแสดงสมรรถนะ (ความรู้ + ทักษะ + เจตคติ) ในการสื่อสารและสร้างสัมพันธภาพระหว่างบุคคล กับทีมงานหรือกลุ่มบุคคล ชุมชน ประชาชน และสังคม ทั้งในและต่างประเทศ ที่ดีและมีประสิทธิภาพ มีลักษณะบุคคล พฤตินิสัย และพฤติกรรมที่แสดงออกถึงการมีมารยาททางสังคม บนพื้นฐานของการให้เกียรติตนเองและผู้อื่น การยอมรับ (Accept) เชื่อถือไว้วางใจ (Trust) และเคารพ (Respect) ในความคิดเห็น ความสามารถและความแตกต่างในด้านต่าง ๆ ของผู้อื่นในสังคมและวัฒนธรรมที่แตกต่าง (รวมถึงการมีคุณลักษณะของความเป็นมืออาชีพใน PLO 1) มีทักษะในการฟังเชิงรุก (Active listening) การอ่านเพื่อทำความเข้าใจ (Reading comprehension) ทักษะการสื่อความหมายทั้งในเชิงวัจนภาษาและอวัจนภาษา สามารถใช้ภาษาไทยและภาษาอังกฤษในการเรียนรู้ค้นคว้าแสวงหาความรู้ และปฏิบัติงานทางการแพทย์ ทั้งการฟัง อ่าน พูด และเขียนได้ดี ตลอดจนมีทักษะรอบด้านที่ไม่ใช่เชิงเทคนิค (Non-technical skills) และทักษะในการใช้เทคโนโลยีการสื่อสารดิจิทัลอย่างมีประสิทธิผลและประสิทธิภาพทั้งในการเรียนรู้และการปฏิบัติงาน

PLO 5

การทำงานในระบบบริการสุขภาพ

(Working in Healthcare System)

      สมรรถนะการทำงานในระบบสุขภาพบริการสุขภาพหมายถึงการบูรณาการความรู้ ทักษะ เจตคติสำหรับการทำงานเชิงระบบ (System-Based Practice) ร่วมกับบุคคลอื่นในระบบบริการสุขภาพของประเทศได้อย่างมีคุณภาพและประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในระบบการแพทย์ปฐมภูมิ (Primary care) ระบบบริการสุขภาพระดับปฐมภูมิ หรือสาธารณสุขมูลฐาน (Primary health care) อันเป็นด่านแรกในการดูแลสุขภาพของประชาชนอย่างต่อเนื่อง ทั้งในระดับรายบุคคล ครอบครัว และชุมชน มีการเชื่อมประสานการทำงานเชิงรุกทั้งในระบบและระหว่างระบบในการสร้างเสริมสุขภาพ ป้องกันโรคและภาวะคุกคามด้านสุขภาพ รักษา ฟื้นฟูสุขภาพอย่างมีคุณภาพ คุ้มค่า ปลอดภัย ครอบคลุมสิทธิประโยชน์ของประชาชน โดยยึดผู้ป่วย ครอบครัว และประชาชนเป็นศูนย์กลาง การทำงานดังกล่าวนอกจากต้องมีสมรรถนะในการบริบาลผู้ป่วยรายบุคคล (ตามที่กำหนดใน PLO 2) ยังต้องมีสมรรถนะของศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์ระบบสุขภาพ (Health system science) ประกอบด้วยการคิดเชิงระบบ ความคิดเชิงออกแบบเพื่อแก้ปัญหารวมทั้งพัฒนาแนวคิดใหม่เพื่อแก้ปัญหา ความรู้เกี่ยวกับระบบสุขภาพ ระบบบริการสุขภาพ ระบบประกันสุขภาพ และนโยบายด้านสุขภาพของประเทศ ระบบข้อมูลสารสนเทศสุขภาพ (Health information systems - HIS) ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารสุขภาพ (Health information and communication technology – HIT) รวมถึงสารสนเทศทางคลินิก (Clinical informatics) การมีส่วนร่วมในการพัฒนาคุณภาพการรักษาพยาบาล การรักษาความปลอดภัยของผู้ป่วย บุคลากร และประชาชน (3P safety: Patient, Personnel, People) ความรู้ด้านเศรษฐศาสตร์สุขภาพ (Health economics) เพื่อการตัดสินใจในการบริบาลสุขภาพแบบเน้นคุณค่า (Value-based health care) การทำงานร่วมกับทีมสหสาขาวิชาชีพในระบบสุขภาพ การเป็นผู้นำ การบริหารจัดการ  อนึ่ง ในการปฏิบัติงานในระบบการแพทย์ปฐมภูมิหรือสาธารณสุขมูลฐานต้องผสมผสานความรู้พื้นฐานด้านเวชศาสตร์ครอบครัว พื้นฐานเวชศาสตร์ป้องกันสาขาต่าง ๆ ระบาดวิทยาพื้นฐาน ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ความรู้ด้านสุขภาพการสร้างเสริมสุขภาพโดยองค์รวม การคัดกรองด้านสุขภาพ และการป้องกันโรค ทั้งในระดับบุคคล ครอบครัว ชุมชน และประชาชน แนวคิดและทฤษฎีทางสังคมศาสตร์สุขภาพและมานุษยวิทยาการแพทย์ ตลอดจนมีความรอบรู้เกี่ยวกับสถานการณ์และผลกระทบของสุขภาพโลก (Global health) และการมีส่วนร่วมในการรณรงค์ ป้องกันและแก้ไขปัญหาสุขภาพโลก ทั้งนี้บนพื้นฐานของการมีจริยธรรมและเคารพกฎหมาย

PLO 6

การสืบเสาะความรู้ทางวิทยาศาสตร์และการมีส่วนร่วมในงานวิจัย

(Scientific Inquiry and Research Participation)

      การสืบเสาะความรู้ทางวิทยาศาสตร์เป็นสมรรถนะซึ่งประกอบด้วยความรู้ ทักษะ และเจตคติในการค้นหาและพิสูจน์ความรู้ตามหลักการและขั้นตอนของกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ มีทักษะในการสังเกต กำหนดปัญหา ตั้งคำถาม ตั้งสมมติฐาน และใช้การทดลองทางวิทยาศาสตร์ในการรวบรวมข้อมูลเพื่อพิสูจน์สมมติฐานได้อย่างปลอดภัย มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์ (Analytical thinking) และคิดอย่างมีวิจารณญาณ (Critical thinking) สามารถประยุกต์ใช้ความรู้ในทางชีวสถิติพื้นฐานในการรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล และสรุปผล

      การมีส่วนร่วมในงานวิจัยหมายถึงความสามารถในการทำงานวิจัยร่วมกับผู้อื่นด้วยความรู้ความเข้าใจในประเด็นปัญหาการวิจัย การทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ การประเมินค่างานวิจัย (Critical appraisal) การกำหนดช่องว่างของความรู้ (Gap of knowledge) ขอบข่ายทฤษฎีหรือกรอบแนวคิดในการทำวิจัย (Theoretical or conceptual framework) การตั้งคำถามและวัตถุประสงค์งานวิจัย การตั้งสมมติฐาน การวางแผนและเขียนโครงร่างการทำวิจัย (Research proposal) การเลือกรูปแบบการวิจัย (Research design) และระเบียบวิธีวิจัย (Research methodology) การกำหนดตัวแปร (Variables) การเลือกวิธีการทางสถิติในการวิเคราะห์ การกำหนดประชากรและขนาดตัวอย่าง วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลและการแปลความหมาย การเขียนรายงานการวิจัย (Research report) และนำเสนองานวิจัยด้วยวาจา (Oral presentation) การทั้งนี้โดยต้องปฏิบัติตามหลักจริยธรรมการวิจัย (Research ethics) โดยเฉพาะหลักจริยธรรมการทำวิจัยในคน

PLO 7

การพัฒนาตนเองและวิชาชีพ

(Personal and Professional Development)

      การพัฒนาตัวเองและวิชาชีพที่เป็นผลลัพธ์การเรียนรู้ในข้อนี้หมายถึงสมรรถนะในการบริหารจัดการตนเองและพัฒนาการเรียนรู้ของตนเองให้มีศักยภาพสูงสุดของนักศึกษาและบัณฑิต เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการดำรงชีวิตและการทำงานในวิชาชีพแพทย์ในอนาคต มีความสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของบริบทแวดล้อมในมิติต่าง ๆ ในอนาคตอย่างต่อเนื่อง พร้อมสำหรับการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ และพัฒนาความสามารถ ความเป็นมืออาชีพ ในการบริบาลสุขภาพของผู้ป่วยและประชาชนที่ยุ่งยากซับซ้อนมากขึ้น ผ่านกระบวนการเรียนรู้ที่เสริมสร้างทัศนคติเชิงบวก (Positive attitude) มีกรอบแนวคิดแบบเติบโต (Growth mindset) ที่เชื่อว่าความรู้ความสามารถของทุกคนเปลี่ยนแปลงได้ผ่านการเรียนรู้และความพยายามฝึกฝน ไม่ยอมแพ้ในสถานการณ์ที่ยากลำบากหรือในสภาวะที่ไม่แน่นอน (Endurance) มีความยืดหยุ่นและสามารถปรับตัวได้ดีในสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป (Flexibility and Adaptation) มีความสามารถที่จะรับมือกับความล้มเหลวและทำให้ฟื้นกลับสู่สภาพปกติ (Resilience) มีความอยากรู้อยากเห็น (Curiosity) มีแรงผลักดันหรือแรงจูงใจภายใน (Internal motivation) ที่จะกระทำหรือมีพฤติกรรมเพื่อให้บรรลุหรือมีผลสำเร็จตามเป้าหมาย มีความรับผิดชอบในการกำหนดและกำกับดูแลตนเองอย่างเป็นอิสระ (Autonomy) มีความฉลาดทางอารมณ์และสังคมในการจัดการชีวิตอย่างเหมาะสม

      มีความสามารถในการบริหารจัดการสุขภาพและวิถีชีวิตของตนเอง จัดการความเครียด  จัดการเวลา สร้างความสมดุลระหว่างชีวิตการเรียนหรือการทำงานกับชีวิตส่วนตัว (Learn/work-life balance) ตระหนักรู้ในความสำคัญของการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Life- long learning) และการพัฒนาทักษะอนาคต รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลกในศตวรรษที่ 21 ทั้งในด้านเทคโนโลยี สภาพแวดล้อม เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และการเปลี่ยนแปลงในมิติอื่น ๆ ของประเทศและของโลก รวมทั้งปัญหาสุขภาพโลก มีความสามารถสูงในการเรียนรู้ด้วยตนเองหรือกำกับการเรียนรู้ของตนเอง (Self-directed or Self-regulated learning) ซึ่งประกอบด้วย การประเมินตนเอง (Self-assessment) วิเคราะห์ตนเอง (Self-analysis) สะท้อนความรู้ความสามารถของตนเอง (Self-reflection) การกำหนดเป้าหมายการเรียนรู้และพัฒนาตนเอง การกำหนด    กลยุทธ์และวิธีการเรียนรู้ มีสมรรถนะในด้านเทคโนโลยีดิจิทัลสำหรับการเรียนรู้ แสวงหาความรู้ และเพิ่มพูนทักษะในการทำงานด้านต่าง ๆ เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของตนเองและการเตรียมพร้อมสำหรับการเรียนรู้และปฏิบัติงานในอนาคตอย่างต่อเนื่อง

PLO 8

การบริบาลสุขภาพผู้สูงอายุโดยองค์รวมอย่างเบ็ดเสร็จ

(Comprehensive Holistic Senior Healthcare)

         สมรรถนะการบริบาลสุขภาพผู้สูงอายุโดยองค์รวมอย่างเบ็ดเสร็จเป็นผลลัพธ์การเรียนรู้ที่มุ่งเน้นเป็นพิเศษนอกเหนือจากสมรรถนะพื้นฐานในการบริบาลผู้ป่วยและประชาชนในทุกช่วงวัยตามที่กำหนดในผลลัพธ์การเรียนรู้ข้ออื่น พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรสู่สังคมสูงวัยระดับสุดยอด (Super-aged society) ประกอบด้วย ความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับความรู้พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่เปลี่ยนแปลงแตกต่างจากวัยอื่น อาทิ การเสื่อมถอย เปราะบาง หรือเสื่อมสภาพของโครงสร้างการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ การตอบสนองของร่างกายต่อภัยคุกคามสุขภาพและวิธีการรักษา ซึ่งต้องใช้แนวทางการจัดการ ป้องกันแก้ไขปัญหา และบริบาลสุขภาพที่ยาก ซับซ้อน หลายแง่มุม  เรื้อรัง แตกต่างจากในวัยอื่นมาก โดยเฉพาะการดูแลสุขภาพระยะยาวในกลุ่มผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง มีข้อจำกัดในการดูแลตนเอง หรือเป็นผู้ป่วยระยะท้าย ต้องการการบริบาลแบบองค์รวม เบ็ดเสร็จ ด้วยหัวใจของความเป็นมนุษย์ในลักษณะของการบูรณาการศาสตร์และการทำงานสหวิชาชีพอย่างจริงจัง

รายนามผู้บริหารคณะแพทยศาสตร์ 

  • ศ.นพ. สารเนตร์ ไวคกุล                                                                 คณบดีคณะแพทยศาสตร์

  • ผศ. พญ.กันยิกา ชำนิประศาสน์                                                   รองคณบดีฝ่ายแพทยศาสตรศึกษา

  • ผศ.พิเศษ น.ท.นพ. ประพนธ์  จารุยาวงศ์                                     รองคณบดีฝ่ายการศึกษาชั้นคลินิก

  • ศ.นพ. ทศศาสตร์ หาญรุ่งโรจน์                                             รองคณบดีฝ่ายวิจัยและนวัตกรรม

  • ศ. พญ. พูนศรี รังษีขจี                                                                   รองคณบดีฝ่ายทรัพยากรบุคคล

  • พล.ต.ต. นพ. พงศ์ธร สุโฆสิต                                                        รองคณบดีฝ่ายบริหารวิชาการและกิจการนักศึกษา

  • ผศ. ดร. ณัฐวรรณ สาสิงห์                                                            รองคณบดีฝ่ายบริหารและการคลัง

  • ผศ. นพ. ธเนศ รังษีขจี                                                                    รองคณบดีฝ่ายประกันคุณภาพ

bottom of page